ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 4 Submit a Proposal สมัครทำงานบน Upwork

เมื่อเราคัดกรองงานและคนจ้าง (Client) จากในบทความที่แล้วในหัวข้อ ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 3 งานดี คนจ้างเด่น เน้นสบายใจได้แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง "Submit a Proposal" กันเสียที

การ Submit a Proposal ก็คือการยื่นใบสมัครนั่นเองค่ะ เมื่อเรายื่นใบสมัครแล้วเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกของ Client เพราะยังมีคู่แข่งที่สมัครงานเดียวกับเราอีก ดังนั้นถ้าเราเขียนแนะนำตัวได้ดี ก็มีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้ทำงานชิ้นนั้น จะว่าไปก็เหมือนกับการสมัครงานเลยเนอะ

วิธีการสมัครทำงานบน Upwork

จากตัวอย่างในภาพข้างล่าง ฝั่งขวามือ จะเห็นว่าในการสมัครนี้เราจะต้องใช้ 2 Connects การสมัครแต่ละงานอาจใช้ Connects ไม่เท่ากัน โดยปกติจะใช้ตั้งแต่ 1-5 Connects

Connects คืออะไร?

Connects คือ คะแนนหรือแต้มแบบหนึ่ง ซึ่งเราจะได้เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 60 แต้ม (หรือ 60 Connects) เอาไว้ใช้ในการสมัครทำงานบน Upwork ถ้าหากอยากจะได้มากกว่า 60 Connects ก็ต้อง Upgrade เป็นสมาชิกแบบ Freelancer Plus ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 10 เหรียญ โดยเราจะได้ 70 Connects ถ้าใช้ไม่หมดก็ทบไปเดือนหน้าได้ แล้วก็ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกเช่น ซื้อ Connects เพิ่มได้ ดูราคาประมูลโปรเจคของคู่แข่งได้ เป็นต้น

upwork-proposal-1

จริงๆแล้วมัฟฟินไม่แนะนำให้เพื่อนๆเสียเงินในส่วนนี้ เพราะมัฟฟินคิดว่าการเป็นสมาชิกแบบธรรมดาก็เพียงพอที่จะสร้างรายได้บน Upwork แล้ว แต่ถ้าใครคิดว่าการจ่ายเงินเดือนละ 10 เหรียญนั้นคุ้มค่าก็สามารถ Upgrade ได้โดยเข้าไปที่ Setting >> Membership & Connects >> View or edit membership plan ค่ะ

upwork-connects

มาต่อเรื่องการยื่นใบสมัครค่ะ เมื่อเราตัดสินใจที่จะสมัครทำงานนี้แล้ว ก็คลิกยื่นใบสมัครได้เลยที่ปุ่ม "Submit a Proposal" จากนั้นเราก็จะเจอหน้าจอแบบภาพข้างล่างนี้ค่ะ

เราจะต้องเสนอราคาค่าแรงเรา (หรือประมูลราคาของโปรเจคนี้นั่นเอง) โดยปกติจะตั้งราคาไม่เกินงบ (Budget) ของ Client แต่ถ้าในรายละเอียดที่ Client โพสท์นั้นระบุว่าเขาตั้งงบคร่าวๆ ซึ่งต่ำมากๆ เช่น 5$ และอนุญาตให้ฟรีแลนเซอร์สามารถบอกราคาค่าแรงไปได้เลย เราก็สามารถระบุตรงนี้ได้เลยค่ะ

**Upwork จะหักค่า service fee อีก 20% นะคะ เงินที่เราจะได้จริงคือเงินในช่องที่สาม ซึ่งในที่นี้เป็น 360$ ค่ะ ตรงนี้ระบบจะคำนวณให้เองอัตโนมัติ

upwork-proposal-2

จากนั้นเพื่อนๆสามารถเลือกระยะเวลาการส่งงานว่าจะเสร็จภายในประมาณกี่วัน กี่เดือน เลือกตามความเหมาะสมของงานนั้นๆนะคะ

upwork-proposal-2

ได้เวลาเขียน Cover Letter แล้ว

ตรงนี้คือส่วนที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเรามีโอกาสได้งานมากน้อยแค่ไหน อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อนๆอย่าเพิ่งท้อใจไปค่ะ การเขียน Cover Letter ไม่ได้ยากมากมายอะไร มัฟฟินมีตัวอย่างมาให้ดูด้วยค่ะ เพื่อนๆสามารถปรับให้เป็นแบบของตัวเองได้ ตัวอย่างนี้มัฟฟินก็เอาของคนอื่นมาปรับเหมือนกัน ฮ่าๆๆ

Cover Letter เป็นส่วนของการแนะนำตัว บรรยายสรรพคุณตัวเองค่ะ แต่ต้องทำให้ดูพอดีพองาม ไม่โอเวอร์จนเกินไป ที่สำคัญอย่าลืมเช็คให้ดีว่าใน Cover letter นั้นมี 4 ส่วนต่อไปนี้ครบถ้วน

  • ทักทายอย่างมืออาชีพ เช่น Dear Mr.Tony (ถ้ารู้ชื่อ หรือเคยร่วมงานกันมาก่อน) หรือ Dear Hiring Manager ก็ดูสุภาพดี
  • เข้าประเด็น โดยบอกว่าเราสนใจในงานนี้ และมีความสามารถอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ บรรยายสรรพคุณของเราไปเลยค่ะ
  • โชว์จุดเด่น หาก Client ระบุว่าต้องการคนที่มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง(ที่คุณมี!) คุณควรจะบอกไปด้วยเลยค่ะ อย่าให้พลาด
  • ปิดการขาย บอกว่าคุณพร้อมที่จะทำงานทันทีหรือไม่ จะสามารถทำงานให้ได้สัปดาห์ละกี่ชั่วโมง พร้อมส่งงานเร็วแค่ไหน เป็นต้น

นอกจากนี้เพื่อนๆก็ยังจะต้องเช็คตัวสะกดให้ถูกต้องด้วยนะคะ เพื่อความเป็นมืออาชีพ และถ้าหาก Client ให้เราตอบคำถามก็ควรตอบให้ครบถ้วน

ทำไมต้องมีให้ครบทั้ง 4 ส่วน?

การเขียนให้น่าสนใจและมีรายละเอียดครบถ้วนเป็นการดึงดูดใจ Client ทำให้เราดูเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ และมีโอกาสได้รับงานสูงขึ้นค่ะ

upwork-proposal-3

สำหรับงานหรือโปรเจคแบบ Fixed Price (ราคาตายตัว) พอเราคลิกปุ่ม Submit แล้วจะขึ้นหน้าจอแบบข้างล่างนี้ เพื่อบอกว่ามีงานในลักษณะนี้มีสัญญาคุ้มครองค่ะ

เราก็ติ๊ก Yes,I understand แล้วคลิก Continue to Submit ก็เป็นอันเสร็จ (แต่ถ้าเป็นแบบ Hourly (รายชั่วโมง) ก็จะไม่ขึ้นแบบนี้ค่ะ แต่ก็มีสัญญาคุ้มครองเหมือนกัน)

upwork-proposal-4

จบขั้นตอนการส่งใบสมัครแล้วค่ะ ตอนนี้ก็รอการตอบกลับจาก Client แต่ถ้าหากเขาไม่ตอบกลับก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ยังมีงานอีกหลายงานที่รอเราอยู่ ฉะนั้นในระหว่างนี้เราก็สมัครงานอื่นไปด้วยได้

ถ้าหากเพื่อนๆจะดู Proposal หรือใบสมัครที่เราส่งไปก็คลิกที่ Proposals บนแถบสีเทาด้านบนค่ะ

upwork-proposal-5

สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ท้อใจเรื่องภาษาอังกฤษ ก็อย่าลืมหาเวลาไปฝึกฝนนะคะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆค่ะ ในบทความต่อไป มาทำความรู้จักกับงานแบบ Hourly กับ Fixed Price กันค่ะ

1 ความคิดเห็น:

  1. ลักษณะงานที่รับควรจะเป็น ที่สามารถใข้ร่วมกันทั่วโลก เช่น ถ่ายภาพ
    แต่สำหรับการทำงานที่มีเฉพาะประเทศ เช่น บัญชี ภาษี เท่ากับว่าก็ไม่มีงานให้ทำสิครับ T T

    ตอบลบ