พอทำงานออนไลน์กับ Upwork มาสักพัก เพื่อนๆคงจะสังเกตเห็นคนที่เป็น Top Rated Freelancer อยู่บ้างใช่ไหมคะ เพื่อนๆอาจจะอยากรู้ว่า Top rate คืออะไร ดียังไง วันนี้มัฟฟินจะพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักกับเจ้าสิ่งนี้กันค่ะ
Top Rate คืออะไร?
Top Rate เป็นเครื่องมือในการคัดฟรีแลนเซอร์ว่าใครทำงานดีและโดดเด่น เมื่อคัดแล้วก็จะเปิดโอกาสให้เติบโตในสายงานของตัวเองได้มากกว่าคนอื่นๆที่ไม่ได้เป็น Top Rate
เป็น Top Rate แล้วดียังไง?
ปกติเมื่อ Client โพสท์โปรเจคสักโปรเจคหนึ่งก็มักจะมองหาฟรีแลนเซอร์ที่เป็น Top Rate มากกว่าฟรีแลนเซอร์ทั่วไป ดังนั้นคนที่เป็น Top Rate จึงมักจะมีโอกาสที่จะได้งานมากกว่า
ข้อดีของการเป็น Top Rated Freelancer มีดังนี้
- คำเชิญให้เราส่ง proposal โปรเจคต่างๆ ซึ่ง client ที่ส่งคำเชิญมานั้นมีแนวโน้มที่จะพิจารณาเราก่อนคนอื่นๆ นั่นก็แปลว่า เรามีโอกาสได้รับงาน-ได้รับเงินมากกว่าคนอื่น
- คำแนะนำในการเขียนโปรไฟล์ให้ดีขึ้น เมื่อเขียนโปรไฟล์ได้น่าสนใจมากขึ้น client ที่เข้ามาอ่านก็จะอยากจ้างเรามากขึ้น
- การช่วยเหลืออย่างดีเยี่ยมทั้งทางโทรศัพท์, แชท และ e-mail เมื่อมีปัญหา
- สิทธิ์ในการเข้าร่วมในชุมชนคน Top Rate เพื่อให้เรามีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์จาก Top Rate คนอื่นๆ
- ลบ feedback ที่ไม่ดีออกจากโปรไฟล์ได้ 1 job
- เลือกลบดาวรีวิวที่น้อยหรือ comment ที่ไม่ดีออกไปได้
จะเป็น Top Rate ได้อย่างไร?
การจะเป็น Top Rate ได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ทำรายได้อย่างน้อย $1,000 ในหนึ่งปีที่ผ่านมา
- กรอกโปรไฟล์ครบถ้วน 100%
- มี Job Success Score 90% ขึ้นไป
- มี Rising Talent หรือ Job Success Score อย่างน้อย 90% (อย่างน้อย 13 สัปดาห์จาก 16 สัปดาห์)
- มีความเคลื่อนไหวตลอด 3 เดือนบน Upwork (ส่ง Proposal, ตอบ chat, ทำงาน ฯลฯ)
รู้อย่างนี้แล้วเรามาทำตัวเราให้ติด Top Rated Freelancer กันดีกว่า โดยเริ่มจากการกรอก Profile ให้ได้ 100%
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าส่วนไหนให้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่บ้าง
- ประวัติการศึกษา +10%
- ประสบการณ์อื่นๆ +5%
- ประวัติการทำงาน +10% (สูงสุด30%)
- คะแนนการทดสอบ Skill Test +10% (สูงสุด30%)
- ใบประกาศต่างๆ +5% (สูงสุด10%)
- ผลงานต่างๆ +5% (สูงสุด10%)
คราวนี้มัฟฟินจะสอนกรอกในส่วนของผลงาน (Portfolio) ต่างๆและใบประกาศนียบัตร (Certificate) รวมทั้งบอกวิธีไปทำ Test เพราะในส่วนอื่นๆนั้นเราได้กรอกหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่ 2 สร้างโปรไฟล์เบื้องต้น
การกรอกผลงาน (Portfolio)
ให้เพื่อนๆไปที่หน้า Profile แล้วเลื่อนลงมาหาหัวข้อ Portfolio จากนั้นคลิกที่หัวข้อดังกล่าว (หรือคลิกที่เครื่องหมายบวกข้างๆหัวข้อนั้นก็ได้) เพื่อเพิ่มผลงานที่เราเคยทำ
จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างขึ้นมาให้เรากรอกข้อมูล โดยจะต้องกรอกชื่อโปรเจคที่ทำ, เลือกว่าโปรเจคนี้ทำบน upwork หรือไม่, ข้อมูลคร่าวๆของโปรเจค, เลือกประเภทของโปรเจค, วันที่ทำเสร็จ และเพิ่มรูปภาพ จากนั้นก็คลิกที่ปุ่ม Publish Project (ตัวอย่างดังภาพข้างล่าง) ในส่วน Portfolio นี้เพื่อนๆสามารถเพิ่มกี่โปรเจคก็ได้ตามใจเพื่อนๆเลย ยิ่งเยอะยิ่งดีค่ะ
การเพิ่ม Certificate
ถัดมาจะเป็นส่วนของ Certifications ให้คลิกที่หัวข้อ Certifications (หรือคลิกที่เครื่องหมายบวกข้างๆหัวข้อนั้นก็ได้)
จากนั้นเลือกชื่อใบประกาศนียบัตรที่เคยได้รับ แต่ถ้าไม่มีใน list ให้เลือก other
สมมติว่าเลือก other เราจำเป็นต้องกรอกชื่อใบประกาศฯเอง โดยระบุหน่วยงานที่ออกใบประกาศฯนี้ให้เรา คำอธิบายเกี่ยวกับใบประกาศฯ วันเดือนปีที่ได้รับ จากนั้นคลิกปุ่ม Add Certification ก็เป็นอันเสร็จ ถ้าเพื่อนๆมีหลายใบก็สามารถเพิ่มได้อีกโดยทำแบบเดิมคือคลิกที่เครื่องหมายบวกข้างๆคำว่า Certifications เลือกใบประกาศฯ กรอกรายละเอียด และคลิกปุ่ม Add Certification ค่ะ
การทำ Tests
ถัดมาคือการทำ Tests โดยคลิกที่หัวข้อ Tests เพื่อไปยังหน้า Skill Tests ซึ่งจะมีชุดข้อสอบต่างๆให้เราเลือกทำ มัฟฟินแนะนำให้ทำแบบทดสอบภาษาอังกฤษก่อน เช่น UK English Basic Skills Test และ U.S. English Basic Skills Test เพราะงานหลายๆโปรเจคมักจะกำหนดคุณสมบัติว่ารับเฉพาะ freelancer ที่ผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษของ upwork
นอกจากนี้เพื่อนๆยังสามารถทำแบบทดสอบที่ตรงกับความสามารถของตัวเองเพิ่มได้ค่ะ
แบบทดสอบภาษาอังกฤษจะมีทั้งหมด 40 ข้อ เป็นแบบ multiple choice ใช้เวลาทำ 40 นาทีค่ะ
เมื่อทำแบบทดสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราต้องตั้งค่าให้คะแนนของเราแสดงบน Profile โดยคลิกปุ่ม YES ตรงคอลัมน์ Display on profile เมื่อคลิกแล้วปุ่ม YES จะเป็นสีเขียว ตามภาพข้างล่างค่ะ
ใครที่ได้คะแนนน้อยก็ไม่ต้องกังวลค่ะ (เราก็ได้น้อยเหมือนกัน ฮ่าๆๆ) เพราะเพื่อนๆสามารถกลับมาทำแบบทดสอบใหม่ได้ในอีก 30-180 วันข้างหน้าขึ้นอยู่กับแบบทดสอบแต่ละแบบค่ะ
มัฟฟินคงต้องจบบทความนี้ไว้เท่านี้ เพราะต้องรีบไปเขียนเรื่องการกรอกแบบฟอร์มภาษี W-8BEN ต่อ อย่าลืมติดตามกันนะคะ