ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 6 บันทึกเวลาผ่าน Upwork Desktop App

หลังจากที่เราได้รู้ว่า Hourly กับ Fixed Price ต่างกันอย่างไรแล้ว บทความนี้มัฟฟินจะมาแนะนำวิธีบันทึกเวลาทำงานแบบรายชั่วโมง (Hourly) ผ่าน  Upwork Desktop App ค่ะ

ดาวน์โหลด App

คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการทำงานบน Upwork แบบ Hourly นั้นจำเป็นต้องมีการบันทึกเวลาผ่าน Upwork Desktop App ซึ่งเป็นโปรแกรม หรือ แอพลิเคชั่นที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของเรา ถ้ายังไม่ได้ดาวน์โหลดไว้ เพื่อนๆสามารถดาวน์โหลดจากใน Upwork ได้เลยค่ะ ลิงค์สำหรับดาวน์โหลดจะอยู่ในหน้าแรกหลังจากที่เพื่อนๆ log in เข้าไป โดยจะอยู่ทางขวามือที่เขียนว่า "Track time with the desktop app" มีรูปนาฬิกาอยู่ข้างหน้า และเมื่อคลิกเข้าไปแล้วก็จะลิงค์มาที่ www.upwork.com/downloads

upwork-desktop-app-1
upwork-desktop-app-2

เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วก็ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ภาพข้างล่างคือหน้าตาของโปรแกรมหลังจากที่เราติดตั้งเสร็จแล้ว

upwork-desktop-app-3

คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญในการทำงานแบบ Hourly แล้วค่ะ นั่นคือการบันทึกเวลาการทำงานของเราซึ่งมีวิธีทำดังนี้

วิธีบันทึกเวลา

  1. เปิด Upwork Desktop App ขึ้นมา
  2. log in โดยใช้บัญชีเดียวกับที่เรา log in บนเว็บไซต์
  3. เลือก Contract ที่จะบันทึกเวลาทำงาน
  4. คลิก ON เพื่อเริ่มบันทึกเวลา
  5. คลิกที่ "What are you working on?" เพื่อใส่คำอธิบายสั้นๆว่าเราทำอะไร
  6. เริ่มทำงาน
  7. เมื่อพัก หรือ ทำงานเสร็จ ให้คลิก OFF เพื่อหยุดการบันทึกเวลา

Upwork Desktop App ทำอะไรบ้าง?

  • บันทึกเวลา
  • สุ่มถ่ายภาพหน้าจอขณะทำงานเป็นช่วงๆ (ประมาณชั่วโมงละ 6 ครั้ง)
  • บันทึกจำนวนครั้งที่คลิกเมาส์/เลื่อนเมาส์/กดคีย์บอร์ด

ทุกอย่างที่ app นี้บันทึกไว้จะถูก Upload ขึ้นไปยังเว็บไซต์ Upwork โดยสามารถดูได้ใน Work Diary อย่างไรก็ตามเพื่อนๆสามารถแก้ไขคำอธิบายสั้นๆได้ และยังสามารถลบภาพได้ด้วย แต่การลบภาพที่ถ่ายหน้าจอนั้นจะเป็นการลบช่วงเวลาการทำงานช่วงดังกล่าวไปด้วย หมายความว่าช่วงเวลาที่ถูกลบไปจะไม่ถูกนำมาคิดเป็นค่าจ้าง

จบบทความแล้วเพื่อนๆฟรีแลนเซอร์ทุกคนอย่าลืมนำไปใช้นะคะ บทความหน้าเป็นตอนที่ 7 คุณสมบัติไม่ผ่าน จะหางานได้ยังไง เพื่อนๆสามารถติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ ขอบคุณที่ติดตามบล็อกของมัฟฟินนะคะ

ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 5 Hourly vs Fixed Price

หลังจากที่เพื่อนๆได้ศึกษาบทความ"ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 4 Submit a Proposal" ไปแล้ว เพื่อนๆอาจจะสงสัยว่า Hourly กับ Fixed Price คืออะไร ? แตกต่างกันอย่างไร ? มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้ค่ะ

คงเป็นเรื่องปกติที่เวลาเรารับทำงานออนไลน์ เรามักจะกังวลว่าเราจะได้รับค่าจ้างจริงหรือเปล่า เราจะโดนโกงไหม ถ้าหากนายจ้างไม่จ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ เราจะฟ้องร้องได้ยังไงบ้าง

เมื่อเรามารับทำงานบน Upwork เราจะสบายใจเรื่องนี้ได้บ้าง เพราะ Upwork มีระบบที่มีการคุ้มครองฝั่งฟรีแลนเซอร์อย่างเราๆด้วยสัญญาในการทำงาน 2 แบบที่ผูกมัดระหว่างนายจ้าง (Client) กับฟรีแลนเซอร์คือ

1. Hourly

เป็นการจ้างทำงานรายชั่วโมง สัญญาแบบนี้จะให้ความคุ้มครองได้ก็ต่อเมื่อ

  • Client กดจ้าง (Hire) เรา
  • เรา Accept ที่จะทำงานนี้
  • เราใช้ Upwork Desktop App ในการบันทึกเวลาการทำงาน
  • ไม่ใส่เวลาเอง หรือที่เรียกว่า ;Add Manual Time แม้ว่า Client จะอนุญาตให้ทำได้
  • เราทำงานจริง โดยจะเห็นได้จาก Work Diary
  • เราเขียนคำอธิบายสั้นๆและได้ใจความใน Work Diary ว่าทำอะไรบ้าง
  • จำนวนชั่วโมงไม่เกินลิมิตรายสัปดาห์ในสัญญา (ชั่วโมงส่วนเกินก็จะไม่ได้เงิน)
  • ไม่ทำผิดกฎของ Upwork

การทำงานแบบ Hourly นี้ จำเป็นต้องบันทึกเวลาการทำงานด้วย Upwork Desktop App ซึ่งเมื่อเรากด ON เพื่อเริ่มบันทึกเวลาใน App นี้ ตัวเลขเวลาก็จะไปขึ้นที่หน้า Work Diary ของเราและจะขึ้นที่หน้าของ Client ด้วย ทำให้ Client สามารถเช็คได้ว่าเราทำไปกี่ชั่วโมงแล้ว

upwork-hourly-1

Upwork Desktop App นี้จะมีการถ่ายภาพหน้าจอเราเป็นระยะๆ ระหว่างที่เรากำลังทำงาน มีการบันทึกว่ากด keyboard ไปกี่ครั้ง คลิกเมาส์ไปกี่ครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเราทำงานจริงๆ ไม่ได้แค่กดบันทึกเวลาแล้วไปทำอย่างอื่น ถ้าหากจะพักทานข้าว หรือเข้าห้องน้ำ หรือไปทำธุระอย่างอื่น หรือว่าทำงานจนเสร็จแล้ว ก็สามารถกดเปลี่ยนจาก ON เป็น OFF ได้เพื่อให้ App นี้หยุดบันทึกเวลาค่ะ

เราสามารถใส่เวลาเองได้ในหน้า Work Diary หรือที่เรียกว่า Add Manual Time โดย Client จะเป็นคนเลือกในระบบว่าจะให้เราใส่เวลาเองได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสัญญาแบบ Hourly จะไม่คุ้มครองถ้าหากเกิดปัญหากับ Client ในภายหลัง ดังนั้นมัฟฟินจึงไม่แนะนำให้ใส่เวลาเอง ควรบันทึกเวลาด้วย Upwork Desktop App จะดีกว่าค่ะ เพราะถ้าหากมีปัญหากับ Client เราสามารถขอให้ Upwork ช่วยได้

upwork-hourly-2

2. Fixed Price

เป็นการจ้างทำงานที่ตั้งราคาตายตัว สัญญาแบบนี้ให้ความคุ้มครองได้ก็ต่อเมื่อ

  • Client กดจ้าง (Hire) เรา
  • เรา Accept ที่จะทำงานนี้
  • เราทำงานตรงตาม milestone ทุกอย่าง
  • ส่งงานตรงเวลา

เมื่อ Client กดจ้างเรา จะมีการแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาและจะแจ้งเตือนไปที่อีเมล์ของเราด้วย เราต้องเข้าไปกด Accept เพื่อตกลงที่จะทำงานนี้ แล้วสัญญาจึงจะเริ่มคุ้มครอง จากนั้นเราจึงเริ่มทำงาน

Client อาจจะกำหนด milestone หลาย milestone ให้เรา เมื่อเราทำงานเสร็จในแต่ละ milestone ก็กด Submit งานที่เสร็จเพื่อส่งให้ Client รีวิว เมื่อ Client โอเคก็จะกดจ่ายเงินมาให้เราค่ะ แต่ถ้า Client ไม่ยอมรับงานของเราทั้งๆที่เราทำงานตรงตาม milestone ทุกอย่าง หรือ Client หายไป ไม่ยอมจ่ายเงิน เราก็สามารถขอให้ Upwork มาช่วยจัดการได้

มัฟฟินเองก็ยังไม่เคยเจอกรณีที่ Client โกงสักที เคยเจอแต่จ่ายเงินช้า ต้องทวงกันหลายรอบ ถ้ามีโอกาส มัฟฟินจะมาบอกวิธี request ให้ทาง Upwork มาช่วยในกรณีที่เจอเหตุการณ์ Client ไม่ยอมจ่ายเงินนะคะ

upwork-hourly-3

อ้อ เกือบลืม สิ่งสำคัญที่อยากจะเตือนเพื่อนๆ *** ห้ามทำงานโดยใช้สัญญาใจ หรือทำงานตามคำขอโดยที่ไม่มีการกดจ้างเราในระบบเด็ดขาด เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะหลอกให้เราทำงานฟรี และเราจะไม่สามารถขอให้ Upwork มาช่วยได้เลยค่ะ

การทำงานออนไลน์บน Upwork ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆฟรีแลนเซอร์ทุกคนนะคะ สำหรับบทความถัดไปเป็นเรื่องของการบันทึกเวลาผ่าน Upwork Desktop App เพื่อนๆสามารถติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ

ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 4 Submit a Proposal สมัครทำงานบน Upwork

เมื่อเราคัดกรองงานและคนจ้าง (Client) จากในบทความที่แล้วในหัวข้อ ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 3 งานดี คนจ้างเด่น เน้นสบายใจได้แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง "Submit a Proposal" กันเสียที

การ Submit a Proposal ก็คือการยื่นใบสมัครนั่นเองค่ะ เมื่อเรายื่นใบสมัครแล้วเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกของ Client เพราะยังมีคู่แข่งที่สมัครงานเดียวกับเราอีก ดังนั้นถ้าเราเขียนแนะนำตัวได้ดี ก็มีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้ทำงานชิ้นนั้น จะว่าไปก็เหมือนกับการสมัครงานเลยเนอะ

วิธีการสมัครทำงานบน Upwork

จากตัวอย่างในภาพข้างล่าง ฝั่งขวามือ จะเห็นว่าในการสมัครนี้เราจะต้องใช้ 2 Connects การสมัครแต่ละงานอาจใช้ Connects ไม่เท่ากัน โดยปกติจะใช้ตั้งแต่ 1-5 Connects

Connects คืออะไร?

Connects คือ คะแนนหรือแต้มแบบหนึ่ง ซึ่งเราจะได้เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 60 แต้ม (หรือ 60 Connects) เอาไว้ใช้ในการสมัครทำงานบน Upwork ถ้าหากอยากจะได้มากกว่า 60 Connects ก็ต้อง Upgrade เป็นสมาชิกแบบ Freelancer Plus ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 10 เหรียญ โดยเราจะได้ 70 Connects ถ้าใช้ไม่หมดก็ทบไปเดือนหน้าได้ แล้วก็ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกเช่น ซื้อ Connects เพิ่มได้ ดูราคาประมูลโปรเจคของคู่แข่งได้ เป็นต้น

upwork-proposal-1

จริงๆแล้วมัฟฟินไม่แนะนำให้เพื่อนๆเสียเงินในส่วนนี้ เพราะมัฟฟินคิดว่าการเป็นสมาชิกแบบธรรมดาก็เพียงพอที่จะสร้างรายได้บน Upwork แล้ว แต่ถ้าใครคิดว่าการจ่ายเงินเดือนละ 10 เหรียญนั้นคุ้มค่าก็สามารถ Upgrade ได้โดยเข้าไปที่ Setting >> Membership & Connects >> View or edit membership plan ค่ะ

upwork-connects

มาต่อเรื่องการยื่นใบสมัครค่ะ เมื่อเราตัดสินใจที่จะสมัครทำงานนี้แล้ว ก็คลิกยื่นใบสมัครได้เลยที่ปุ่ม "Submit a Proposal" จากนั้นเราก็จะเจอหน้าจอแบบภาพข้างล่างนี้ค่ะ

เราจะต้องเสนอราคาค่าแรงเรา (หรือประมูลราคาของโปรเจคนี้นั่นเอง) โดยปกติจะตั้งราคาไม่เกินงบ (Budget) ของ Client แต่ถ้าในรายละเอียดที่ Client โพสท์นั้นระบุว่าเขาตั้งงบคร่าวๆ ซึ่งต่ำมากๆ เช่น 5$ และอนุญาตให้ฟรีแลนเซอร์สามารถบอกราคาค่าแรงไปได้เลย เราก็สามารถระบุตรงนี้ได้เลยค่ะ

**Upwork จะหักค่า service fee อีก 20% นะคะ เงินที่เราจะได้จริงคือเงินในช่องที่สาม ซึ่งในที่นี้เป็น 360$ ค่ะ ตรงนี้ระบบจะคำนวณให้เองอัตโนมัติ

upwork-proposal-2

จากนั้นเพื่อนๆสามารถเลือกระยะเวลาการส่งงานว่าจะเสร็จภายในประมาณกี่วัน กี่เดือน เลือกตามความเหมาะสมของงานนั้นๆนะคะ

upwork-proposal-2

ได้เวลาเขียน Cover Letter แล้ว

ตรงนี้คือส่วนที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเรามีโอกาสได้งานมากน้อยแค่ไหน อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อนๆอย่าเพิ่งท้อใจไปค่ะ การเขียน Cover Letter ไม่ได้ยากมากมายอะไร มัฟฟินมีตัวอย่างมาให้ดูด้วยค่ะ เพื่อนๆสามารถปรับให้เป็นแบบของตัวเองได้ ตัวอย่างนี้มัฟฟินก็เอาของคนอื่นมาปรับเหมือนกัน ฮ่าๆๆ

Cover Letter เป็นส่วนของการแนะนำตัว บรรยายสรรพคุณตัวเองค่ะ แต่ต้องทำให้ดูพอดีพองาม ไม่โอเวอร์จนเกินไป ที่สำคัญอย่าลืมเช็คให้ดีว่าใน Cover letter นั้นมี 4 ส่วนต่อไปนี้ครบถ้วน

  • ทักทายอย่างมืออาชีพ เช่น Dear Mr.Tony (ถ้ารู้ชื่อ หรือเคยร่วมงานกันมาก่อน) หรือ Dear Hiring Manager ก็ดูสุภาพดี
  • เข้าประเด็น โดยบอกว่าเราสนใจในงานนี้ และมีความสามารถอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ บรรยายสรรพคุณของเราไปเลยค่ะ
  • โชว์จุดเด่น หาก Client ระบุว่าต้องการคนที่มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง(ที่คุณมี!) คุณควรจะบอกไปด้วยเลยค่ะ อย่าให้พลาด
  • ปิดการขาย บอกว่าคุณพร้อมที่จะทำงานทันทีหรือไม่ จะสามารถทำงานให้ได้สัปดาห์ละกี่ชั่วโมง พร้อมส่งงานเร็วแค่ไหน เป็นต้น

นอกจากนี้เพื่อนๆก็ยังจะต้องเช็คตัวสะกดให้ถูกต้องด้วยนะคะ เพื่อความเป็นมืออาชีพ และถ้าหาก Client ให้เราตอบคำถามก็ควรตอบให้ครบถ้วน

ทำไมต้องมีให้ครบทั้ง 4 ส่วน?

การเขียนให้น่าสนใจและมีรายละเอียดครบถ้วนเป็นการดึงดูดใจ Client ทำให้เราดูเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ และมีโอกาสได้รับงานสูงขึ้นค่ะ

upwork-proposal-3

สำหรับงานหรือโปรเจคแบบ Fixed Price (ราคาตายตัว) พอเราคลิกปุ่ม Submit แล้วจะขึ้นหน้าจอแบบข้างล่างนี้ เพื่อบอกว่ามีงานในลักษณะนี้มีสัญญาคุ้มครองค่ะ

เราก็ติ๊ก Yes,I understand แล้วคลิก Continue to Submit ก็เป็นอันเสร็จ (แต่ถ้าเป็นแบบ Hourly (รายชั่วโมง) ก็จะไม่ขึ้นแบบนี้ค่ะ แต่ก็มีสัญญาคุ้มครองเหมือนกัน)

upwork-proposal-4

จบขั้นตอนการส่งใบสมัครแล้วค่ะ ตอนนี้ก็รอการตอบกลับจาก Client แต่ถ้าหากเขาไม่ตอบกลับก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ยังมีงานอีกหลายงานที่รอเราอยู่ ฉะนั้นในระหว่างนี้เราก็สมัครงานอื่นไปด้วยได้

ถ้าหากเพื่อนๆจะดู Proposal หรือใบสมัครที่เราส่งไปก็คลิกที่ Proposals บนแถบสีเทาด้านบนค่ะ

upwork-proposal-5

สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ท้อใจเรื่องภาษาอังกฤษ ก็อย่าลืมหาเวลาไปฝึกฝนนะคะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆค่ะ ในบทความต่อไป มาทำความรู้จักกับงานแบบ Hourly กับ Fixed Price กันค่ะ

ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 3 งานดี คนจ้างเด่น เน้นสบายใจ

หลังจากที่เราได้เรียนรู้การสร้างโปรไฟล์เบื้องต้นกันไปแล้ว ในบทความนี้มัฟฟินจะมาบอกถึงวิธีการค้นหางานที่เราสนใจ และวิธีเลือก Client (ผู้จ้าง) ที่ดีๆค่ะ

อันดับแรกหางานที่สนใจก่อน แล้วจากนั้นจึงมาคัดกรองหา Client ดีๆทีหลังค่ะ เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย...

เมื่อเรา log in เข้ามาแล้วจะเจอหน้าจอแบบนี้

upwork-search-1

จะเห็นว่าตรงด้านบนของหน้าจอมีช่อง Search for Jobs ไว้สำหรับให้ค้นหาค่ะ เพื่อนๆสามารถพิมพ์คีย์เวิร์ดลงในช่องนั้นเพื่อค้นหางานหรือโปรเจคที่สนใจได้เลย

ในตัวอย่างนี้มัฟฟินต้องการทำงานเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมภาษา php จึงใช้คำว่า php ในการค้นหา

upwork-search-2

จากนั้นเราจะเห็นผลการค้นหาที่เกี่ยวกับ php ขึ้นมามากมาย เพื่อนๆสามารถกรองหางานเฉพาะที่สนใจจากแถบด้านซ้ายมือได้ โดยเลือกได้ว่าจะกรองเฉพาะงานที่เป็น Hourly (จ่ายค่าแรงเป็นรายชั่วโมง) อย่างเดียว ประสบการณ์ปานกลาง หรือกรอง Client ที่มีประวัติเคยจ้างมาแล้ว 1-9 คน ก็ได้

เราจะลองเลือกตัวอย่างมาสัก 1 งานเพื่อดูรายละเอียด ในที่นี้เราเลือกลิงค์แรกที่เห็นในภาพค่ะ

upwork-search-3

จากรูปด้านล่าง

- Details เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดของงาน

- Preferred Qualifications คือคุณสมบัติที่ Client ต้องการ ในที่นี้คือต้องทำงานสำเร็จ 90% เป็นอย่างน้อย

สำหรับคนที่ไม่ถึง 90% ตรงนี้จะขึ้นเครื่องหมาย ! สีแดง ซึ่งบ่งบอกว่าไม่ควรสมัครงานนี้เพราะถึงแม้จะสมัครไป ใบสมัครก็จะถูกจัดอยู่ในโซนคุณสมบัติไม่ผ่าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกอ่านเลย (แต่ก็มี Client บางคนที่ใจดีพิจารณาใบสมัคร และเห็นว่าโปรไฟล์ดีก็อาจจะเลือกให้เราทำงานก็ได้ (ซึ่งมีน้อยมาก))

การจะทำงานได้อย่างสบายใจนั้น เราต้องมีทั้งงานที่ดีและ Client ที่ดีค่ะ ดังนั้นคราวนี้เราจะมาดูกันว่า Client คนนี้ดีไหม น่าทำงานด้วยไหม โดยดูที่ About the Client ด้านขวามือค่ะ

วิธีเลือก Client

  • ดูว่า Client ผูกบัญชีกับ Upwork สำหรับจ่ายเงินแล้วหรือยัง โดยดูที่เครื่องหมายถูกค่ะ

ถ้าขึ้นเครื่องหมาย ? แปลว่ายังไม่ผูกบัญชี

ถ้าขึ้นเครื่องหมายถูกสีเขียว  แสดงว่าผูกบัญชีแล้ว

ตรงนี้สำคัญยังไง?...  ก็สำคัญตรงที่มันเป็นตัวบอกว่า เขาจะมีเงินจ่ายให้เราได้ทันทีที่เราทำงานเสร็จ  เราจะได้ไม่ต้องรอเงินนานเกินไปโดยไม่จำเป็น หรือไม่ต้องทำงานฟรี

จากตัวอย่างในภาพจะเห็นได้ว่า Client คนนี้ผูกบัตรเครดิตแล้ว พร้อมจ่ายเงินได้ทุกเมื่อค่ะ

  • ดาวของ Client ต้องเกือบ 5 ดาว

ตรงนี้คือคะแนนรีวิวโดยรวมจากคนที่เคยทำงานร่วมกับ Client คนนี้  ส่วน Feedback ของแต่ละคนที่พูดถึง Client คนนี้ ต้องเลื่อนลงไปดูข้างล่างค่ะ

จากตัวอย่างในภาพจะเห็นได้ว่า Client คนนี้มีคะแนนอยู่ที่ 4.94 ดาว โดยมีคนรีวิวทั้งหมด 14 คน

  • เปอร์เซ็นต์การจ้างงานต้องเยอะ

ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะแปลว่าเมื่อเขาโพสท์หาฟรีแลนเซอร์ ก็จะมีการจ้างงานเกิดขึ้นแทบทุกครั้ง ไม่ใช่มาโพสท์เล่นๆ แล้วให้เราเสียเวลาสมัครโดยที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่จ้างใครเลย

จากตัวอย่างในภาพจะเห็นได้ว่า Client คนนี้มีเปอร์เซ็นต์การจ้างงานอยู่ที่ 75% ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้

  • ดูเงินที่จ่ายค่าจ้างไป

เป็นส่วนที่แสดงว่าเขาจ่ายจริง ไม่ได้ให้เราทำงานให้ฟรีแล้วชิ่งหนีไป

จากตัวอย่างในภาพจะเห็นได้ว่า Client คนนี้ได้จ่ายเงินค่าจ้างไปแล้วทั้งหมด 6,269 ดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้เป็นค่าจ้างของฟรีแลนเซอร์ทั้งหมด 131 คนค่ะ

upwork-search-4

พอเลื่อนลงมาจะเป็นส่วนของ Review และ Feedback ที่ฟรีแลนเซอร์ที่เคยร่วมงานกับ Client คนนี้ให้ไว้ ตรงนี้บอกเราได้พอสมควรเกี่ยวกับ Client ว่าดีหรือไม่ บางคนเขียน Feedback ได้ดุเดือดมาก ถ้าเจอ Feedback ที่ไม่ดีจากหลายๆคน เราก็ควรเลี่ยง ไม่ควรทำงานกับ Client คนนั้น

นอกจากนี้เรายังประเมินได้อีกด้วยว่า Client คนนี้ให้ Feedback กับ Freelancer แต่ละคนอย่างไรบ้าง เช่น Freelancer ให้ Feedback กับ Client คนนี้ดี ให้คะแนน Review 4-5 ดาว แต่ Client กลับให้ Feedback ไม่ดี คะแนน Review ไม่ดี ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยๆก็น่าคิด แม้ว่าเราจะมองได้ว่า Client อาจมีมาตรฐานสูง แต่ถ้าหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเพราะเราอาจได้รับ feedback ที่ไม่ดีกลับมาซึ่งส่งผลต่อ profile ของเรา

สำหรับตัวอย่างนี้ โดยรวมแล้วถือว่า Client คนนี้ดี เราจึงตัดสินใจจะร่วมงานกับเขาค่ะ

upwork-search-5

เมื่อเราตัดสินใจจะสมัครทำงานนี้ ขั้นตอนต่อไปก็คือการ "Submit a Proposal" ซึ่งเพื่อนๆสามารถอ่านต่อได้ที่ ทำงานออนไลน์ สร้างรายได้บน Upwork : ตอนที่ 4 Submit a Proposal สมัครทำงานบน Upwork ค่ะ